วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ญี่ปุ่น ... แล้วคุณจะหลงรัก






วัดเซ็นโซจิ

ตึกอาซาฮีและโตเกียวสกายทรี

ถนนนาคามิเสะ




        ญี่ปุ่น หรือ แดนอาทิตย์อุทัย ประเทศที่ใครหลายคนอยากจะไป


เยี่ยมเยือนสักครั้ง ประเทศที่มีความเกี่ยวข้อง คุ้นเคยกับเรามาตั้งแต่

เด็ก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการ์ตูนญี่ปุ่นที่เรารอดูทุกเช้าในตอนเด็ก

ขนมโตเกียวที่เราชอบกินในตอนเด็ก และมีความเกี่ยวข้องกับเราจน

เราเป็นผู้ใหญ่ ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศหนึ่งที่ใครหลายๆ คนใฝ่ฝัน

        ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด และแบ่งภาคออก 

เป็น 8 ภูมิภาค จังหวัดที่คนส่วนใหญ่รู้จัก เช่น โตเกียว โอซาก้า 

ฮอกไกโด เป็นต้น ซึ่งแต่ละจังหวัดก็มีสถานที่ท่องเที่ยว เอกลักษณ์

ความสวยงามที่แตกต่างกันไป ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนไปวันเดย์

ทริปกันที่วัดอาซากุสะ

        วัดเซ็นโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียก วัดโคม

แดง เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ เป็นวัดที่มีความเก่าแก่และมีความ

นิยมในจังหวัดโตเกียว วัดอาซากุสะมีอายุมากกว่า 1,000 ปี จึงเป็น  

วัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว ผู้คนนิยมมาไหว้ขอพรและเดินเล่นบริเวณ

วัดเราจะพบชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมากมาย และหนึ่งในนัก 

ท่องเที่ยวที่สามารถพบเห็นได้บ่อยๆ นั่นก็คือ นักท่องเที่ยวไทยของ

เรานี่เอง

        บริเวณด้านหน้าจะมีถนนชื่อนาคามิเสะ เป็นถนนเพื่อเดินเข้าสู่

วัดตลอดเส้นทางของถนนสายนี้จะมีร้านค้าแบบญี่ปุ่นเปิดอยู่ ทั้ง

ขนมหวาน พวงกุญแจ ของที่ระลึก เครื่องราง ชุดญี่ปุ่น และอีก

มากมายนักท่องเที่ยวสามารถซื้อของไปฝากครอบครัว เพื่อน หรือคน

ที่เรารักได้จากถนนสายนี้

        ถ้าหากเราเดินเล่นที่วัดจนทั่วแล้ว เราสามารถเดินออกมาจาก

วัดเดินตามถนนไปประมาณ 400 เมตร เราจะพบแม่น้ำและสะพานแดง

ซึ่งฝั่งตรงข้ามของเราจะเป็นตึกอาซาฮี ตึกที่มีเอกลักษณ์อยู่บริเวณ

ด้านบนของตึกที่เป็นรูปฟองเบียร์ และเราจะสามารถมองเห็นโตเกียว

สกายทรีได้อย่างชัดเจน

        วัดอาซากุสะ เปิดเวลา 6:00 – 17:00 น. และ 
ในเดือนตุลาคม – 

มีนาคมเปิด 6:30 – 17:00 น. ส่วนบริเวณวัดเปิดตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

        การเดินทางมาวัดอาซากุสะ : รถไฟใต้ดินสาย 
Ginza Line มาลง

สถานี Asakusa ทางออก 3 หรือ รถไฟใต้ดินของ Toei Asakusa line

ทางออก A4 และ A5

        วัดอาซากุสะเป็นเพียงหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากแนะนำ ใน

ประเทศญี่ปุ่นยังมีอีกหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่รอให้ทุกคนได้ไป

พบเห็นด้วยตาของตนเอง ถ้าหากได้ไปญี่ปุ่น...แล้วคุณจะหลงรัก








นางสาวดวงกมล คลื่นกระโทก 

รหัส 56115200058















หลงเสน่ห์ ... ที่เมืองมอญ























              ถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจในประเทศไทย


นั้นก็จะมีหลากหลายที่ที่น่าสนใจ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำสถานที่ 

ท่องเที่ยวที่เรารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากและอยากกลับไปเยือน

ที่แห่งนั้นอีกสักครั้ง ที่แห่งนั้นก็คือ สังขละบุรี เราจะพาทุกๆคนไป

ซึบซับกับธรรมชาติ และบรรยากาศของสะพานมอญ

             เสน่ห์ของเมืองมอญหรือที่เรารู้จักกันในนามสังขละบุรีนั้น

สิ่งแรกที่ควรจะนึกถึงก็คือ สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือที่เขานิยมเรียก

กันว่า สะพานมอญ ซึ่งสะพานมอญแห่งนี้สร้างในพ.ศ. 2528 สร้างโดย

คนฝั่งมอญและคนฝั่งไทยร่วมแรงร่วมใจสร้างขึ้น โดยมีจุดประสงค์

มาจากหลวงพ่ออุตตะมะนั้น สร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นเส้น

ทางในการทำมาค้าขาย และเป็นเส้นทางในการแลกเปลี่ยนประเพณี

และวัฒนธรรมอีกด้วย ต่อมาเราก็จะพูดถึงสะพานลูกบวบ ซึ่งสะพาน

ลูกบวบนี้คนในชุมชนร่วมมือร่วมใจกันสร้างขึ้นมา หลังจากที่สะพาน

มอญโดนน้ำป่าซัดจนสะพานขาดออกจากกัน แต่ตอนที่เราไปสะพาน

มอญนั้นก็ได้สร้างเสร็จและสามารถใช้ได้เหมือนเดิมแล้ว เหลือ

สะพานลูกบวบให้เห็นแค่ครึ่งเดียว ที่ยังหลงเหลือในความทรงจำ

              นอกจากความงามของสะพานมอญและสะพานลูกบวบแล้ว

เสน่ห์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของสะพานมอญก็คือ วิถีชีวิต ความเป็น

อยู่ที่เรียบง่าย ผู้คนต่างมีน้ำใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนที่แห่งนั้น

เสมอมา ซึ่งบนสะพานเราจะเห็นความสวยงามของธรรมชาติ ไม่ว่าจะ

เป็นแม่น้ำสามประสบที่ไหลมาจากพม่า ภาพคนเดินไป-มาบนสะพาน

มอญ ภาพหลวงพ่อบิณฑบาตในตอนเช้า ภาพสาวชาวมอญเทินของ

บนศีรษะ หรือไม่ก็หิ้วปิ่นโตไปทำบุญในตอนเช้า และทุกๆคนก็จะปะ

แป้งด้วยทานาคาเป็นลวดลายต่างๆ ซึ่งดูแล้วน่ารักดี และในที่แห่งนี้ก็

จะมีคนดัง ณ สะพานมอญ คนแรกที่จะแนะนำก็คือ ป้าเย็น ซึ่งใครมาที่

นี่แล้วไม่ได้มาถ่ายรูปกับป้าแก ถือว่ามาไม่ถึงสะพานมอญเลยก็ว่าได้

ป้าแกนั้นมีความสามารถเฉพาะตัวที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กก็คือ การเทิน

หม้อไว้บนศีรษะนับสิบๆใบโดยไม่ตกลงพื้น ป้าแกจะออกมาโชว์

กายกรรมแบบนี้ทุกๆวันบนสะพานมอญ แกเลยเป็นดาราที่น่ารัก

ประจำสังขละบุรีเลยก็ว่าได้ สิ่งที่แปลกตาสำหรับคนที่มาที่นี่อีกอย่าง

ก็คือ แม่ชีเด็กในชุดสีชมพู ตอนแรกเราก็คิดว่าเณรหรือเปล่าแต่ทำไม

ถึงต้องมาใส่ชุดสีชมพู ด้วยความสงสัยเลยเดินไปถามป้าที่ขายของ

ใกล้ๆแถวนั้น ป้าแกเลยเล่าให้ฟังว่า พวกเขาเป็นแม่ชีที่มาจากฝั่งพม่า

จะมารับบิณฑบาตที่นี่เป็นประจำ เมื่อมีแม่ชีเด็กเหล่านี้ทำให้นักท่อง

เที่ยวมีความสนใจและอยากมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมาก็

จะเป็นกลุ่มเด็กน้อยที่อยู่บนสะพานมอญ น้องๆเขาจะมาหารายได้ให้

กับครอบครัวโดยการขายดอกไม้บ้าง ปะหน้าโดยใช้ทานาคาทำเป็น

ลวดลายให้กับนักท่องเที่ยวบ้าง เด็กบางคนก็เทินหม้อแบบป้าเย็น

บ้าง และเด็กบางคนก็มาเล่าประวัติของสะพานมอญให้ฟังบ้าง ซึ่ง

น้องๆน่ารักและเป็นกันเองอย่างมาก ด้วยสิ่งเหล่านี้เราเลยอยากกลับ 

ไปสะพานมอญอีกครั้ง

              ส่วนด้านอาหารที่นี่มีความโดดเด่นและไม่เหมือนใครไม่ว่าจะ

เป็นเมนูกะหรี่ปั๊บแขก ก็คือนำมันฝรั่งมาบดส่วนใส่ข้างในจะเป็นหมูสับ

และผัก ทอดให้เหลืองๆ ทานคู่กับซอสพริกเมนูนี้เราชอบมาก

              1 วันสำหรับการอยู่บนสะพานมอญ เราได้อะไรมากมายจาก


ที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่มีน้ำใจซึ่งกันแและกัน แถมยังมีรอยยิ้มที่

เปื้อนไปด้วยความสุข บรรยากาศแสนน่าประทับใจ และการได้เปิด

โลกโดยการท่องเที่ยวเป็นสิ่งทีจะทำให้เราได้พบเจอในสิ่งต่างๆที่เรา

ไม่เคยรู้ ไม่เคยพบเจอ การท่องเที่ยวเปรียบเสมือนการได้อ่านหนังสือ

 ยิ่งเที่ยวเยอะมากเท่าไหร่ ก็ทำให้เรามีความรู้มากขึ้นเท่านั้น และที่

แห่งนี้เองที่ทำให้เราอยากหวนกลับไปอีกสักครั้งหนึ่ง








นางสาววรรณวิภา ยิ้มเจริญ 

รหัส 56115200061









































เรามีนัดกัน ... สุวรรณภูมิ





บรรยากาศด้านหน้าตลาดนัดสุวรรณภูมิ

ร้านขายของใช้ต่างๆ

โซนนั่งรับประทานอาหาร

ร้านขายเสื้อผ้าชนิดต่างๆ







         หากพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวนั้นแน่นอนว่าสถานที่ท่องเที่ยวใน

ประเทศไทยมีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการท่องเที่ยวตามแหล่ง

ธรรมชาติ เช่น ทะเล น้ำตก ภูเขา ดอย ฯลฯ และการท่องเที่ยวแบบ 

ในเมือง เช่น การเดินห้างสรรพสินค้า ถนนคนเดิน อาทิ จตุจักร ถนน

ข้าวสาร สวนรถไฟ หรือแม้แต่ตลาดนัดตามจังหวัดต่างๆ เป็นต้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ความชอบและสไตล์ของแต่ล่ะคนว่าจะเลือก

ไปสถานที่แบบไหน

        ในวันนี้เราจึงอยากจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดิน

สบายๆชิวๆโดยใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นาน นั่นคือ ตลาดนัด

สุวรรณภูมิ แหล่งขายของในย่านลาดกระบัง โดยตลาดนัดแห่งนี้เป็น

ตลาดนัดขนาดใหญ่มีของขายมากมาย โดยตลาดนัดสุวรรณภูมินี้จะ

เปิดช่วง 16.00 – 21.00 นาฬิกาเป็นต้นไป ในเวลาที่เป็นเปิดนั้นจะเป็น

เวลาช่วงเย็น อากาศไม่ร้อนสามารถเดินได้เรื่อยๆไม่เบื่อ ภายในตลาด

นั้นจะประกอบไปด้วยของร้านอาหารมากมาย ทั้งของใช้ รวมไปถึง

ของกิ๊ฟช็อป เครื่องสำอาง เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย เป็นต้น โดย

คนที่มาเดินส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษาเนื่องจากในพื้นที่

นั้นอยู่ติดกับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย นอกจากนั้นยังมีคนทำงานรวม

ถึงผู้ที่ไปเป็นครอบครัวก็มีเช่นกัน หลังจากเดินเข้าไปจะพบว่าภายใน

ตลาดนัดสุวรรณภูมิจะมีสถานที่ที่ให้นั่งพักหลายที่มาก เนื่องจาก

ขนาดของตลาดมีความกว้างจึงจำเป็นจะต้องมีที่ให้นั่งพักสำหรับ

ลูกค้า ทางด้านหน้านั้นจะมีร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นรวมถึงเครื่องประดับ

มากมายที่มีความนิยมในช่วงนี้ ราคาไม่แพง ส่วนในด้านในนั้นจะมี

ทั้งร้านอาหารในส่วนของร้านอาหารนั้นจะมีแบบนั่งโต๊ะทานที่ร้านและ

แบบซื้อกลับบ้านได้โดยแล้วแต่แต่ล่ะคนจะเลือก และเสื้อผ้าก็มีให้

เลือกหลายแบบทั้งเสื้อผ้ายีนส์ หรือเสื้อผ้าแนวเกาหลีที่นิยมกันก็

มีคอยให้บริการ และหากเดินลึกเข้าไปอีกนิดหนึ่งจะพบกับร้านขาย

ของใช้ภายในร้านนี้จะขายที่ทำความสะอาดบ้าน เช่น กะละมัง 

ไม้กวาด ไม้ขนไก่ ฯลฯ นอกจากร้านค้าภายในตรงด้านข้างของตลาด

ยังเป็นพื้นที่โซนอาหารอีกที่หนึ่งที่มีของให้ได้เลือกทานกันอย่าง

จำนวนมาก ไม่กล้าใครที่เดินผ่านตรงนี้ก็จะต้องหิวแน่นอน ร้านอาหาร

มีตั้งแต่ร้านข้าว ร้านก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ หม้อไฟ และอาหารญี่ปุ่น รวมไป

ถึงร้านน้ำที่คอยให้บริการอยู่ในโซนนี้ อย่างที่ได้บอกไว้ข้างต้นว่า

ตลาดนัดแห่งนี้มีของขายเยอะมากจนไม่สามารถบรรยายได้ครบทุก

ร้านเราจึงอยากแนะนำคุณให้ได้ลองไปกันและเนื่องจากตลาดนัด

แห่งนี้เป็นตลาดนัดที่มีขนาดใหญ่มาก มีสินค้าให้เลือกมากมาย จึง

ควรหาโอกาสไปเดินซักครั้งหนึ่ง เพื่อซึมซับบรรยากาศจริงๆภายใน

ตลาด คุณอาจจะพบบรรยากาศที่คุณไม่สามารถหาได้จากตลาดนัด

แห่งอื่นแต่สามารถหาได้ที่นี่..ตลาดนัดสุวรรณภูมิ

การเดินทางไปตลาดนัดสุวรรณภูมิ

         สามารถเดินทางโดยรถส่วนตัว โดยวิ่งมาตามถนนอ่อนนุช – 

ลาดกระบัง มุ่งหน้าไปหลวงแพ่ง พอถึงสะพานคลองปรือกลับรถใต้

สะพานแล้วชิดสายสามารถเข้าตลาดได้เลย

         หากตั้งต้นจากอนุสาวรีย์ชัยฯให้นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) ลง

สถานีพญาไท ต่อแอร์พอล์ตลิงค์มาลงที่สถานีลาดกระบัง เมื่อลงมา

ด้านล่างจะพบกับรถแท็กซี่และรถสองแถว รถจะขึ้นสะพานคลองปรือ

หลังจากลงสะพานให้ลงฝั่งตรงข้ามจะเป็นสวนพระนคร ลงจากรถและ

ข้ามถนนเดินย้อนกลับไปจะเห็นสะพานให้ข้ามไปยังฝั่งของตลาดนัด

สุวรรณภูมิ









นางสาวบุณฑริก พวงเจริญ

รหัส 56115200045










อิ่มบุญ ใกล้กรุง ... ณ ฉะเชิงเทรา





















          การเดินทางครั้งนี้ของดิฉัน อยู่ในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์

ครอบครัวของดิฉัน มีโปรแกรมจะไปเที่ยววัดสมานรัตนาราม ซึ่งวัดนี้

มีองค์พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

สูง 16 เมตร ยาว 22 เมตร เนื้อชมพู ลักษณะนั่งกึ่งนอนตะแคงบน

ฐาน พระหัตถ์ซ้ายถืองาที่หัก พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว โดยรอบฐาน

จะมีพระพิฆเนศทั้ง 32 ปาง 

           สำหรับที่วัดสมานรัตนารามนี้เป็นวัดที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึง 10 แห่ง

ด้วยกันที่ผู้คนนิยมมาขอพร และทำบุญ คือ หลวงพ่อโต พระประธาน

ในอุโบสถหลังใหม่, หลวงพ่อองค์ดำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์, หลวงพ่อ

ประทานพร, พระโพธิสัตว์กวนอิม ปางประทานบุตร, พระพิฆเนศปาง

นอนเสวยสุข, พระพิฆเนศ ปางปาฏิหาริย์ 108 กร, ช้างเอราวัณ, 

พระราหู, พระพรหม และจระเข้โหราเทพารักษ์ 

           สิ่งสำคัญด้านหน้าฐานขององค์พระพิฆเนศ จะมีรูปปั้นหนู 2 ตัว

 ชื่อว่า “ มุสิกะ ” ไว้ให้ผู้คนที่มาสักการะพระพิฆเนศได้กระซิบที่หูของ

หนูเพื่อขอพร เพราะเชื่อกันว่า หนูจะนำคำพูดที่เรากระซิบ ไปบอกกับ

องค์พระพิฆเนศให้ท่านประทานพร เคล็ดลับในการขอพร มีคนเคย

บอกว่า เวลาไปกระซิบบอก ให้เราเอามืออีกข้างอ้อมไปปิดรูหูของ

ท่านหนูอีกข้างด้วย เพราะป้องกันการฝากขอพรจะไม่เข้าหูซ้ายทะลุ

ออกไปหูขวา

           ปัจจุบันถ้าพูดถึง " วัดสมานรัตนาราม " ใครๆ ก็รู้จัก เพราะเป็น

วัดที่มีนักท่องเที่ยว และนักแสวงบุญทั้งหลายเข้ามาทำบุญที่วัดเป็น

ประจำทุกวัน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ วัดนี้จะ

เปิดตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.00 น. ซึ่งสิ่งที่เป็นแรงดึงดูดผู้คนให้เดินทาง

มาในวัดนี้ นอกจากความสงบร่มรื่น และทิวทัศน์ที่สวยงามภายในวัด

แล้วยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดฉะเชิงเทราที่สวยงาม อีกแห่ง

หนึ่งอีกด้วย












นางสาววรีย์ลักษณ์ วีระพัสดุ

รหัส 56115200054









ย้อนรอยร้อยปี ... ตลาดสามชุก
























           สามชุก ตลาดร้อยปี   ย้อนเวลา... ค้นหาภาพความทรงจำที่

อาจลืมเลือน ภาพอดีตที่ยังคงอยู่ แม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน ตลาด

เก่าที่มีชีวิต และคอยเล่าเรื่องราวของวันเวลาที่กำลังจะจางหายไป

จากความรู้สึก และความทรงจำให้กับผู้คนที่ผ่านมายังตลาดแห่งนี้

ตลาดตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 340 แยกเข้าอำเภอสามชุก

อยู่ริมแม่น้ำ ท่าจีนติดกับที่ว่าการอำเภอสามชุก เป็นชุมชนชาวจีนเก่า

แก่ที่ยังคงสภาพบ้านเรือน และตลาดแบบดั้งเดิม เพลิดเพลินกับ

การกิน ชิม และช็อปทั้งร้านขาย ของที่ระลึก ร้านขายเสื้อผ้า อุปกรณ์

ต่างๆ แต่ที่เป็นจุดเด่นและขาดไม่ได้ของที่นี่ก็คือ ร้านขายของกิน ที่

มีของกินมากมายจนเลือกไม่ถูก แถมถูกปากและถูกใจอีกด้วยการ

เดินทางใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 340 จากกรุงเทพฯ ถึง

สามชุก เข้าทางที่ทำการไปรษณีย์สามชุก หาที่จอดรถ หากโชคดี

อาจจะได้จอดที่สถานีตำรวจซึ่งอยู่ใกล้ตลาด (ปัจจุบัน "ชุมชน

สามชุก-ตลาดเก่า100ปี" สุพรรณบุรีได้รับรางวัลอนุรักษ์ระดับดี จาก

  ยูเนสโก ประจำปี2552) 

          วันหยุดยาวนี้ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ลองมองตลาด

สามชุกหรือที่นิยมเรียกว่า ตลาดร้อยปี  ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของ

คุณ  คุณจะได้ย้อนรอยไปในอดีตเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของคน

สมัยก่อน และถูกใจไปกลับบรรยากาศย้อนยุค สินค้ามีคุณภาพและ

ราคาถูก ตลาดเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.








นางสาวนาถยา  สุดครุฑ

รหัส 56115200062









 

อันยองฮาเซโย โคเรียนทาวน์














             หากจะพูดถึงคำว่า ‘เกาหลี’ ในตอนนี้ก็คงไม่มีใครที่

ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยิน ในปัจจุบันกระแสความเป็นเกาหลีกำลังเป็น

ที่นิยมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นกระแสเพลงเคป็อบ (K-POP) 

กระแสซีรี่ย์ ละคร และภาพยนตร์ รวมถึงกระแสวัฒนธรรมของเกาหลีก็

เริ่มเข้ามาแพร่หลายมากขึ้น และในประเทศไทยก็มีกลุ่มคนจำนวนไม่

น้อยที่สนใจและชื่นชอบความเป็นเกาหลี วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูล

และจะพาผู้อ่านทุกท่านเข้าไปสัมผัสบรรยากาศความเป็นโคเรียน

สไตล์ที่ โคเรียนทาวน์ ชุมชนที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ

เกาหลีไว้อย่างครบครัน

           โคเรียนทาวน์ (Korean Town) หรือ สุขุมวิทพลาซ่า ตั้งอยู่

บริเวณซอยสุขุมวิท 12 เป็นย่านใจกลางเมืองที่รวมความเป็นเกาหลี

เอาไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เครื่อง

สำอาง สิ่งของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเกาหลีถูกรวบรวมมา

ไว้ที่นี่ หากจะถามถึงจุดเริ่มต้นของโคเรียนทาวน์ คงต้องย้อนกลับเมื่อ

หลายปีก่อน มีร้านอาหาร เกาหลีร้านแรกในย่านนี้คือร้านจังวอน และ

หลังจากนั้นก็มีร้านอื่นๆมา เปิดอีกมากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านขาย

ของที่นำเข้ามาจากเกาหลี ร้านเครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งสถาบัน

เสริมความงามก็มาเปิดที่นี่ด้วยเช่นกัน โคเรียนทาวน์แห่งนี้ไม่ได้มี 

แค่เฉพาะคนไทยที่ติดอกติดใจและชื่นชอบความเป็นเกาหลีเท่านั้น

โคเรียนทาวน์ยังเป็นสถานที่พบปะของคนเกาหลีที่มาอาศัยอยู่ใน

ประเทศไทยอีกด้วย และจุดขายของย่านนี้คือ ร้านอาหารเกาหลี

อันหลากหลายที่มีให้เลือกสรร ร้านอาหารเกาหลีในโคเรียนทาวน์

ต่างได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยรสชาติที่เป็นต้นตำรับจาก

เกาหลีแท้ๆ และมีให้เลือกมากมาย และอีกส่วนหนึ่งมาจากกระแส

โคเรียนสไตล์กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย มีกลุ่มคนจำนวนไม่

น้อยเลยที่อยากจะสัมผัสความเป็นเกาหลี แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ

อย่าง จึงเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวหรือสัมผัสบรรยากาศโคเรียน

สไตล์ที่โคเรียนทาวน์แทน

             การเดินทางมายังโคเรียนทาวน์ที่อยู่ใจกลางย่านธุรกิจอย่าง

สุขุมวิทนั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด ทุกคนสามารถเลือกเดินทางมาได้

ทั้งทางรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) ลงสถานีอโศก และรถไฟฟ้าใต้ดิน 

(MRT) สถานีสุขุมวิท 


            ถ้าหากคุณชื่นชอบความเป็นเกาหลี คุณจะไม่ผิดหวังกับ

 โคเรียนทาวน์แห่งนี้แน่นอน






นางสาวภัทรธิราภรณ์ สดากร
รหัส 56115200039










วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ย่ำตรอกหลังวัง ... ที่ตลาดวังหลัง



















        กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือชื่อเรียกที่คุ้นหูกันดีว่า "วังหลัง"

สถานที่ที่มีประวัติความเป็นมามากกว่าร้อยปีตั้งแต่สมัยอยุธยา 

โดย สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ( รัชกาลที่ 17 ของอยุธยา ) 

โปรดให้สร้างพระราชวังขึ้น และมีพระราชประสงค์ให้สมเด็จ    

พระนเรศวรมหาราชประทับพระราชวังหน้าและสมเด็จพระเอกาทศรถ

ประทับพระราชวังหลัง จนเกิดเป็นคำเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า    

“วังหน้า”กับ “วังหลัง” ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธ

ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วังหลังก็ได้เป็นที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้า

กรมอนุรักษ์เทเวศน์


     ปัจจุบันตลาดวังหลัง ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับโรงพยาบาลศิริราช 

เป็นตลาดเก่าแก่ที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยาโดยมีท่าเรือ “วังหลัง” 

ไว้ให้ประชาชนได้ข้ามฝั่งสัญจรไปมา บรรยากาศบริเวณรอบๆของ

ตลาดวังหลังในตอนนี้อาจเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอยู่มาก แต่ก็ไม่ได้

เปลี่ยนไปเสียทั้งหมด เพราะที่นี่ยังคงมีตรอกซอกซอยเก่าและชุมชน

บ้านเรือนของคนในพื้นที่ ให้เรานึกย้อนกันได้อยู่บ้าง ตลาดวังหลัง

เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเรียน นักศึกษา วัยทำงานและบุคคลทั่วไป  

มีร้านอาหารอร่อยๆ ให้ผู้ที่แวะมาเที่ยวได้เลือกชิมกัน ตลอดเส้นทาง 

ทั้งคาวหวาน ไม่ว่าจะเป็น "ร้านอรทัยซูชิวังหลัง" ร้านอาหารญี่ปุ่น

ราคาไม่แพง มีทีเด็ดอยู่ที่ซูชิและทาโกะยากิที่รสชาติไม่เหมือนใคร

อีกทั้งยังมีขนมปังขึ้นชื่อของร้าน "ขนมปังวังหลัง" ที่ไม่ว่าใครแวะมา

ต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไปทุกที นอกจากนี้ตลาดวังหลังยังมีร้าน

เสื้อผ้า รองเท้า ทั้งมือหนึ่งและมือสองที่เป็นที่นิยมของเหล่าวัยรุ่น

เพราะด้วยราคาที่ไม่แพงมากนักจึงสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ 



     สุดท้ายนี้หากใครที่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ลองแวะมาสัมผัส

บรรยากาศย่านวังเก่าของวังหลังซึ่งอดีตเคยเป็นพระราชวังที่ประทับ

ของพระมหากษัตริย์ แต่ในปัจจุบันกลายเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คน

ทุกเพศทุกวัย ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ตลาดแห่งนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่าง

มาก โดยตลาดวังหลังจะเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 17.00 น.













นางสาวรุจิรา ทองตาสี

รหัส 56115200041

หลักสูตรภาษาไทย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต